บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศราคาพร้อมเปิดจำหน่าย ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ อย่างเป็นทางการ โดยรุ่น e:HEV E ราคา 979,000 บาท รุ่น e:HEV EL ราคา 1,079,000 บาท และรุ่น e:HEV RS ราคา 1,179,000 บาท ตั้งเป้าขึ้นเป็นอันดับ 1 ของตลาดเอสยูวีในประเทศไทย ตอกย้ำการเป็นยนตรกรรมสปอร์ตพรีเมียมเอสยูวีสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง ด้วยเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV และเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ทั้งไลน์อัป มาพร้อมดีไซน์ใหม่ทั้งภายนอกและภายในที่ผสานเอกลักษณ์ความสปอร์ตโดดเด่นเข้ากับความอเนกประสงค์ไว้ได้อย่างลงตัว ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายด้วยเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกและฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน เสริมความมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปีและรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง** อีกทั้งแคมเปญพิเศษด้านการบริการอื่นๆ** อาทิ โปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ ฮอนด้า อัลติเมท แคร์ (Honda Ultimate Care) ขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่โดยเพิ่มระยะเวลาอีก 2 ปี หรือระยะทาง 40,000 กิโลเมตร พร้อมด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ 24 ชั่วโมง อีกทั้งฟรีค่าแรงในการเช็กระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร พร้อมเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัสกับ ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ เป็นครั้งแรกได้ที่ลานโปรโมชัน ชั้น G ณ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ระหว่างวันที่ 19 – 20 พฤศจิกายน 2564 นี้ และสัมผัสได้ที่งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 38 (Motor Expo 2021) ตั้งแต่วันที่ 2 – 12 ธันวาคม 2564 และที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป**
นายโนริยุกิ ทาคาคุระ ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฮอนด้า เอชอาร์-วี นับเป็นรถยนต์ที่ลูกค้ารอคอยและให้ความสนใจ อีกทั้งประสบความสำเร็จด้านยอดขายในตลาดเอสยูวีมาอย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่การเปิดตัว ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมด้วยยอดการจองสิทธิ์ประมาณ 2,500 คัน ภายในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์ ในวันนี้หลังจากการเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ จะมีส่วนช่วยกระตุ้นตลาดรถยนต์ในภาพรวมที่กำลังฟื้นตัวให้กลับมาคึกคักยิ่งขึ้น และจะสามารถสร้างมิติใหม่ให้กับตลาดเอสยูวีในประเทศไทยได้อีกครั้ง อีกทั้งจะช่วยให้ฮอนด้าก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำในตลาดเอสยูวีของประเทศไทย ในฐานะของการเป็นเอสยูวีสำหรับทุกคน ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ทั้งด้านระบบขับเคลื่อนและด้านความปลอดภัย ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างแท้จริง พร้อมตั้งเป้าจำหน่าย 20,000 คัน ภายในหนึ่งปีนับจากเปิดตัว”
โดยราคาจำหน่าย ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ ทั้ง 3 รุ่นย่อย ได้แก่
- รุ่น e:HEV RS ราคา 1,179,000 บาท
- รุ่น e:HEV EL ราคา 1,079,000 บาท
- รุ่น e:HEV E ราคา 979,000 บาท
มาพร้อมข้อเสนอพิเศษ สำหรับลูกค้าที่จองและรับรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 – 31 ธันวาคม 2564 รับดอกเบี้ย 2.59%** ฟรีประกันภัย 1 ปี พร้อมรับฟรีหน้ากากฟอกอากาศ LG PuriCare Gen 2 สีขาว พร้อมสายรัดหน้ากากฟอกอากาศ มูลค่า 7,080 บาท
ทั้งนี้ สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนจองสิทธิ์ ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ ระหว่างวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 ตั้งแต่เวลา 11.00 น. – วันที่ 18 พฤศจิกายน 2564 เวลา 19.00 น. จะต้องทำการจองและรับรถตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 – 31 ธันวาคม 2564** เพื่อรับฟรีชุดอุปกรณ์ตกแต่ง Utility Package ประกอบด้วยกระบะใส่ของท้ายรถ มูลค่า 1,100 บาท และแผ่นกันรอยเบาะพนักพิงหลัง มูลค่า 1,700 บาท รวมมูลค่า 2,800 บาท
ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ มาพร้อมดีไซน์สปอร์ตพรีเมียมสไตล์เอสยูวี โดดเด่นด้วยตัวถังในสไตล์ Fastback มาพร้อมระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ให้สมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลัง ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร และประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 25.6 กม./ลิตร และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 94 กรัม/กิโลเมตร โดยระบบสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ได้อย่างชาญฉลาด เหมาะสมกับการขับขี่ในทุกสถานการณ์ถึง 3 โหมด ได้แก่ โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) พร้อมทั้งยังสามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้อย่างง่ายดายตามความต้องการผ่านสวิตซ์ฟังก์ชัน Drive Mode 3 โหมด ได้แก่ โหมดการขับขี่แบบประหยัด (ECON Mode) โหมดการขับขี่แบบปกติ (Normal Mode) และ โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต (Sport Mode)
เสริมความมั่นใจในการขับขี่ ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ ด้วยการมอบแคมเปญพิเศษด้านการบริการหลังการขาย** ได้แก่
- รับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริดถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
- ฟรีค่าแรงในการเช็กระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
- โปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ ฮอนด้า อัลติเมท แคร์ (Honda Ultimate Care) ขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่โดยเพิ่มระยะเวลาอีก 2 ปี หรือระยะทาง 40,000 กิโลเมตร ต่อจากระยะเวลาหรือระยะทางการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตรแรกสิ้นสุดลง รวมสูงสุด 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ 24 ชั่วโมง (Honda 24hr Roadside Assistance)
โดยทุกรุ่นย่อย มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ที่ทำงานร่วมกับกล้องมุมมองกว้างด้านหน้า ช่วยตรวจจับรถยนต์และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งประกอบไปด้วยฟังก์ชันการทำงานหลักๆ ดังนี้
- ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
- ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)
- ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN)
พร้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอันล้ำสมัยและเทคโนโลยีด้านการขับขี่ที่ครบครัน* อาทิ ครั้งแรกของรถยนต์ฮอนด้าในประเทศไทยกับระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC) ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (Electric Parking Brake) ระบบ Auto Brake Hold ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยผู้โดยสารด้านหน้า พร้อมเตือนผู้โดยสารด้านหลัง (Front and Rear Passenger Seat Belt Reminder) ไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder) เป็นต้น
ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง สะดวกสบายในทุกที่นั่ง ครบครันด้วยฟังก์ชันการใช้งานและคงอรรถประโยชน์สไตล์เอสยูวีไว้ได้อย่างดีเยี่ยม โดดเด่นด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติ (Automatic Air Conditioning) ที่มาพร้อมระบบ Air Diffusion System ที่สามารถมอบทิศทางลมที่หมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ กระจายลมได้อย่างเหมาะสมทั่วถึงทั้งห้องโดยสาร พร้อมด้วยช่องปรับอากาศตอนหลัง (รุ่น e:HEV EL และรุ่น e:HEV RS) โดยมาพร้อมห้องสัมภาระท้ายขนาดใหญ่และเบาะนั่งด้านหลังแบบอเนกประสงค์แยกพับแบบ 60:40 ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ 3 รูปแบบ อันเป็นเอกลักษณ์ของฮอนด้าได้แก่
- Utility Mode: เบาะด้านหลังทั้ง 2 ด้านปรับพับเรียบ เพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลัง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของฮอนด้า ที่เบาะผู้โดยสารด้านหลังสามารถพับลงแนวราบได้เรียบ ช่วยเพิ่มพื้นที่สัมภาระด้านท้าย
- Long Mode: เบาะด้านหน้าและด้านหลังปรับพับ เพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว
- Tall Mode: เอกลักษณ์ความอเนกประสงค์ที่โดดเด่นของ ฮอนด้า ที่สามารถพับเบาะด้านหลังขึ้น เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวสูง ซึ่งมีเพียง ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ รุ่นเดียวในเซกเมนต์ที่สามารถพับเบาะในโหมดนี้ได้
ตอบโจทย์สมาร์ตไลฟ์สไตล์ด้วยเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกล้ำสมัยและฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน* อาทิ ใหม่ ฝากระโปรงท้ายไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี พร้อมระบบปิดอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Hands-free Power Tailgate with Walk Away Close) ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) ลำโพงสูงสุดจำนวน 8 ตำแหน่ง ไฟอ่านหนังสือด้านหลังแบบ LED เปิด-ปิดแบบสัมผัส เบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ช่องเชื่อมต่อ USB จำนวน 4 ช่อง พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียง ปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และปุ่มควบคุมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING และ ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) เทคโนโลยีเชื่อมต่อรถยนต์ที่ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน
มาพร้อมสีภายนอก 5 สี ได้แก่ สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) ที่มาพร้อมหลังคาสีดำสไตล์ทูโทน (เฉพาะรุ่น e:HEV RS) พร้อมด้วย สีใหม่ สีขาวพรีเมียมซันไลท์ (มุก) และสีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) รวมทั้งสีขาวแพลทินัม (มุก) และสีดำคริสตัล (มุก) ในทุกรุ่นย่อย
เสริมพลังความสปอร์ตอีกขั้นด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งโมดูโล (Modulo) ที่มาพร้อมแนวคิดหลัก “AMP UP Your Life” โดยมีไอเท็มอุปกรณ์ตกแต่งให้เลือก อาทิ กระจังหน้า ราคา 21,500 บาท สเกิร์ตหน้า ราคา 11,000 บาท สเกิร์ตหลัง (แบบ 2 ชิ้น) ราคา 6,000 บาท ชุดตกแต่งประตูข้าง ราคา 11,000 บาท คิ้วตกแต่งไฟตัดหมอก ราคา 3,000 บาท ชุดไฟตัดหมอกหน้า LED ราคา 7,900 บาท คิ้วบันไดสเตนเลส LED ราคา 3,900 บาท ปลอกท่อไอเสีย ราคา 1,300 บาท ม่านบังแดดผู้โดยสารตอนหลัง ราคา 2,400 บาท เป็นต้น หรือเลือกตกแต่งในรูปแบบแพ็กเกจชุดแต่งรอบคันกับชุด Modulo Urban Package ราคา 21,000 บาท ประกอบด้วย สเกิร์ตหน้า สเกิร์ตหลัง (แบบ 2 ชิ้น) และชุดตกแต่งประตูข้าง
ลูกค้าที่สนใจสามารถสัมผัสกับ ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี ใหม่ ได้ที่
- ลานโปรโมชันชั้น G ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ในวันที่ 19 – 20 พฤศจิกายน 2564 ตั้งแต่เวลา 11.00 น. – 21.30 น.
- บูทฮอนด้า (A14) ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 38 (Motor Expo 2021) ตั้งแต่วันที่ 2 – 12 ธันวาคม 2564 ณ อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
- โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป**
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชทกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.honda.co.th/hrvehev
หมายเหตุ
*อุปกรณ์มาตรฐานแตกต่างกันในแต่ละรุ่น
**เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ
- สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) หลังคาสีดำ (ทูโทน) เพิ่ม 10,000 บาท สีขาวพรีเมียมซันไลท์ (มุก) และ สีขาวแพลทินัม (มุก)
เพิ่ม 10,000 บาท และ สีดำคริสตัล (มุก) เพิ่ม 6,000 บาท - ราคาแพ็กเกจชุดแต่งโมดูโล ไม่รวม VAT 7%
ที่มา: เอบีเอ็ม คอนเนค