แมคลาเรน แบงคอก จัดงานเปิดตัวแมคลาเรน 750S รุ่นคูเป้ (Coupe) ให้สื่อมวลชนและลูกค้าได้ยลโฉมเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดย 750S นับเป็นแมคลาเรนรุ่นที่เบาที่สุดและทรงพลังที่สุดในบรรดารถจากสายการผลิตทั้งหมด กำหนดมาตรฐานใหม่ให้กับวงการซูเปอร์คาร์ พร้อมพุ่งทะยานสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ และเป็นโอกาสที่พิเศษมากที่สุดอีกวันหนึ่งที่ทางแมคลาเรน แบงคอก เชิญสื่อและลูกค้ามาร่วมฉลองแบรนด์แมคลาเรนครบรอบ 60 ปี ภายในงานนี้ทางแมคลาเรน แบงคอกได้จัด McLaren Milestone บอกเล่าประวัติที่ผ่านมาของ McLaren ตั้งแต่ปีแรกจนถึงปีที่ 60 รวบรวมทุกความสำเร็จไม่ว่าจะทางด้านการลงสนามแข่งหรือการพัฒนายนตกรรม โดยงานครั้งนี้แมคลาเรน แบงคอก ได้จัดแสดงโชว์รถระดับ Hyper car อย่าง McLaren Speedtail ที่มีผลิตเพียงแค่ 106 คันในโลกและมีเพียง 1 คันในประเทศไทยเท่านั้น มูลค่ากว่า 400 ล้านบาท
แมคลาเรน 750S ก่อกำเนิดจากการวิเคราะห์รุ่นแมคลาเรน 720S อย่างพิถีพิถัน จากนั้นจึงยกระดับชิ้นส่วนกว่า 30% ทั้งยกเครื่องใหม่และปรับแต่งใหม่ให้ล้ำหน้ายิ่งขึ้น ทำให้ทรงพลัง เบา ปราดเปรียวยิ่งขึ้น แรงกดเพิ่มมากขึ้น สมดุลด้านอากาศพลศาสตร์ดีเยี่ยมยิ่งขึ้น ทั้งยังมอบสัมผัสความเป็นหนึ่งเดียวกันกับรถมากยิ่งขึ้น ต่อยอดเป็นแมคลาเรน 750S ที่ก้าวล้ำสูงสุดในด้านการลดทอนน้ำหนักให้มีความเบาแหวกม่านอากาศ ด้วยสัดส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักรถอยู่ที่ 587 แรงม้าต่อตัน เหนือกว่าคู่แข่งถึง 22 แรงม้า (เมื่อเทียบน้ำหนักรถเปล่าของรุ่นคูเป้) มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 4 ลิตร Twin-Turbocharged ทรงพลัง 750 แรงม้า ด้วยแรงบิด 800 นิวตันเมตร ระบบขับเคลื่อนล้อหลังใหม่ สอดประสานกันกับชุดเกียร์ 7 สปีดเอื้อให้สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 2.8 วินาที และเร่งความเร็วจาก 0-200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 7.2 วินาที สำหรับรุ่นคูเป้ และ 7.3 วินาที สำหรับรุ่นสไปเดอร์
โครงสร้างหลักแบบโมโนค็อกพร้อมด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ การใช้เบาะนั่งแบบรถแข่งที่เป็นคาร์บอนไฟเบอร์และล้อน้ำหนักเบาที่สุดที่ติดตั้งในโมเดลมาตรฐาน คือกุญแจสำคัญที่ส่งผลให้แมคลาเรน 750S เบากว่า 720S ถึง 30 กิโลกรัม นอกจากนี้น้ำหนักรถเปล่ายังเบาสูงสุด เพียง 1,277 กิโลกรัม เบากว่าคู่แข่งหลักถึง 193 กิโลกรัม
การออกแบบภายในได้รับการปรับแต่งใหม่ทั้งหมดโดยให้ความสำคัญกับคนขับเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกับตัวรถ ชูนวัตกรรมใหม่ล่าสุด ซึ่งเป็นจอควบคุม Active Dynamic Settings ติดตั้งตรงคอพวงมาลัยรถ และสวิทช์แบบคันโยก ทำให้คนขับสามารถปรับโหมดช่วงล่างและระบบส่งกำลังได้โดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย
แมคลาเรน 750S ยังภูมิใจนำเสนอ McLaren Control Launcher (MCL) ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะและเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของแมคลาเรน ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในรุ่นนี้ อำนวยความสะดวกให้คนขับสามารถบันทึกโหมดการขับที่ชื่นชอบ สร้างประสบการณ์การขับตามความต้องการเฉพาะบุคคลได้ และเลือกใช้ได้ทันทีเพียงปลายนิ้วสัมผัส ผ่านปุ่ม MCL ทรงเอกลักษณ์รูป Speedmark ซึ่งใช้ควบคุมได้หลากหลายฟังก์ชั่น ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอากาศพลศาสตร์ การตั้งค่าระบบส่งกำลัง และระบบเกียร์
เพิ่มเติมความสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วย Apple CarPlay(R) ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่นนี้ และที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แบบ USB-C และ USB-A พร้อมด้วยหน้าจอ Central Information Screen แบบใหม่ กล้องมองหลังและกล้องมองรอบรถที่อัพเกรดให้มีความละเอียดและภาพคมชัดมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมี ระบบ Vehicle-Lift ใหม่ล่าสุด เพียงปุ่มเดียวก็สามารถยกด้านหน้าของรถขึ้นได้อย่างฉับพลันใน 4 วินาที ซึ่งเร็วกว่ารถแมคลาเรนรุ่นอื่นๆ และเร็วกว่าแมคลาเรน 720S (ที่ใช้เวลา 10 วินาที)
อีกหลายไฮไลท์ในรุ่นนี้ ได้แก่ ชุดท่อไอเสียด้านท้ายกลางตัวรถที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก McLaren P1(TM) ส่งมอบเสียงอันเป็นเอกลักษณ์เร้าใจ พร้อมการปรับแต่งอคูสติกให้โทนเสียงแตกต่าง คมชัด และค่อยๆ ดังขึ้นในช่วงความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้น มาพร้อมชุดช่วงล่างใหม่ล่าสุด PCC III (McLaren’s Proactive Chassis Control linked-hydraulic suspension) ชุดสปริงและชุดดูดซับแรงกระแทกแบบน้ำหนักเบาที่คำนวณและออกแบบใหม่เพื่อความคล่องตัวกว่าในการขับ ชุดพวงมาลัยแบบ electro-hydraulic ที่เลื่องชื่อผนวกอัตราทดที่เร็วขึ้นเพื่อการเข้าโค้งที่คมมากยิ่งขึ้น ระบบเบรกใหม่อัพเกรดมาพร้อมชุดเบรกเซรามิค ชุดปั๊มสุญญากาศและบูสเตอร์ชุดใหม่ และชุดโมโนบลอค แคลิเปอร์ (monobloc caliper) ที่พัฒนาต่อยอดจากระบบเบรกของแมคลาเรน เซนนา (McLaren Senna) เทคโนโลยีระบายความร้อนแคลิเปอร์เบรกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรถฟอร์มูล่าวัน
ไมเคิล ไลเธอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แมคลาเรน ออโตโมทีฟ กล่าวว่า “เมื่อเราออกแบบและผลิตรถที่นักขับทั้งหลายต่างยอมรับว่ามันเป็นมาตรฐานของซูเปอร์คาร์ หากจะสร้างสรรค์สิ่งที่ดียิ่งขึ้นไปอีก เราต้องศึกษารายละเอียดทุกแง่มุม ทั้งยังต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อพัฒนาและยกระดับให้เหนือกว่ามาตรฐานดังกล่าวอีกครั้ง และนี่คือสิ่งที่เรามุ่งมั่นจนมาเป็นแมคลาเรน 750เอส รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ ด้วยความผสมผสานทั้งน้ำหนักที่เบายิ่งขึ้น สมรรถนะเครื่องยนต์ V8 และสัมผัสการขับที่ดีเยี่ยม ล้วนสร้างประสบการณ์การขับซูเปอร์คาร์ที่ดียิ่งขึ้น ล้ำหน้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ยกระดับมาตรฐานใหม่ในวงการ ส่งผลให้ขับสนุกเร้าใจและสร้างความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างนักขับและตัวรถอย่างแท้จริง”
การออกแบบของแมคลาเรน 750S สไปเดอร์ มุ่งเน้นให้มีน้ำหนักเบาที่สุดเช่นกัน จุดเด่นของรุ่นนี้ คือ หลังคาแบบ Retractable Hard Top (RHT) ที่สามารถเปิดปิดได้เร็วกว่า 11 วินาทีที่ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อม Rollover Protection System และส่วนบนของโครงสร้างด้านหลังเชื่อมกันกับโมโนค็อก ที่มีคาร์บอนไฟเบอร์เป็นวัสดุหลัก และด้วยความแข็งแรงของวัสดุนี้ จึงไม่ต้องเสริมความแข็งแรงเพิ่มเติม จึงทำให้มั่นใจว่าแมคลาเรน 750S สไปเดอร์ จะขึ้นสู่ผู้นำในกลุ่มตลาดนี้ด้วยสัดส่วน 566 แรงม้าต่อตัน และตัวรถเปล่าที่เบาที่สุดที่ 1,326 กิโลกรัม
รายละเอียดของแมลลาเรน 750S ที่ได้รับการพัฒนาและต่อยอด ให้แตกต่างจากแมคลาเรน 720เอส อาทิ ส่วนของปลายด้านหน้ารถ (จมูกรถ) ที่ต่ำลง ออกแบบให้ช่องรับอากาศเข้าบริเวณไฟหน้าหรือ Eye Socket ให้แคบลง Sill Air Intake แบบใหม่ ช่องรับอากาศเข้าแบบใหม่บริเวณซุ้มล้อหลัง ระบบควบคุมอากาศพลศาสตร์ด้านหลังพร้อมปรับการออกแบบเพิ่มความยาวส่วนหลังเพิ่มรีดลมไปยังปีกคาร์บอนไฟเบอร์ด้านหลังที่ออกแบบให้สูงขึ้นและยาวขึ้น โดยปีกชุดนี้อยู่เหนือชุดท่อไอเสียตรงกลาง
ออพชั่นสำหรับชุดตกแต่งไฟหน้ามีให้เลือกทั้งแบบสีเดียวกับตัวรถและแบบคาร์บอนไฟเบอร์ หรือจะเป็นชุดช่องรับอากาศแบบใหม่ทั้งที่กันชนหน้าและกันชนหลังก็มีให้เลือกเช่นกันในหมวดหมู่วัสดุน้ำหนักเบา (lightweight material) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแมคลาเรน
ทัศนวิสัยการขับที่ดีรอบด้านบนโครงสร้างหลักแบบโมโนค็อกพร้อมด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ที่มี A-pillar แบบบางพิเศษและ C-pillar แบบโปร่งแสงทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มแสงธรรมชาติให้เข้ามาให้ห้องโดยสารได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ คนขับยังสามารถมองเห็นเครื่องยนต์ได้จากภายในห้องโดยสาร พร้อมความมั่นใจในการบริการสูงสุดกับการรับประกันถึง 3 ปี
แมคลาเรน แบงคอก ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 โดยโชว์รูมตั้งอยู่บนถนนมอเตอร์เวย์ กรุงเทพฯ เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างเต็มประสิทธิภาพ มอบบริการซ่อมบำรุง และบริการหลังการขายแบบครบวงจร ตลอดจนช่างยนต์มีความชำนาญอย่างมืออาชีพที่ได้เข้ารับการฝึกอบรมโดยตรงจากทางทีมของ McLaren Automotive และพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาของรถยนต์ได้ถูกต้องและรวดเร็ว
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ McLaren Bangkok ที่เบอร์ 02-321-1111 หรือ Facebook/IG/Youtube: McLaren Bangkok
ที่มา: คอนจังค์ชั่น พับลิครีเลชั่นส์