ธุรกิจฟาสต์ฟิต หรือธุรกิจศูนย์บริการซ่อมบำรุงรถยนต์ประเภทเร่งด่วน ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าจับตามองสำหรับผู้สนใจลงทุนทำธุรกิจ เนื่องจากมีโอกาสเติบโตสูงด้วยปัจจัยหลากหลายด้าน รวมถึงการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมยานยนต์ท่ามกลางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ส่งผลให้มีแนวโน้มตลาดที่ดีในอนาคต รวมถึงความต้องการของตลาดก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ในปี พ.ศ.2565 กรมการขนส่งทางบกบันทึกสถิติของปริมาณรถยนต์สะสมในประเทศ โดยรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถกระบะ และรถอเนกประสงค์มีรวมกันมากกว่า 18 ล้านคัน ซึ่งเมื่อเทียบกับปริมาณศูนย์บริการมาตรฐานแล้วยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้บริการของผู้ใช้รถเหล่านั้น ขณะที่ผู้ใช้รถจำนวนมากก็ยังไม่มั่นใจที่จะใช้บริการอู่ซ่อมรถหรือผู้ให้บริการรายย่อยซึ่งยังไม่มีการรับรองมาตรฐาน ดังนั้น ศูนย์บริการรถยนต์รูปแบบฟาสต์ฟิตจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้รถ ทั้งในด้านความสะดวก รวดเร็ว และความมั่นใจในการเข้ารับบริการ เนื่องจากมีช่างผู้เชี่ยวชาญ พร้อมอุปกรณ์เครื่องมืออันทันสมัย บนมาตรฐานระดับเดียวกับศูนย์บริการของค่ายรถยนต์ ทำให้มีผู้เข้าใช้บริการศูนย์บริการรถยนต์แบบฟาสต์ฟิตเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะรถยนต์ที่หมดระยะประกันแล้ว ธุรกิจฟาสต์ฟิตจึงมีโอกาสมากขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี ก็ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคชาวไทยมากขึ้น เนื่องจากกระแสการตื่นตัวต่อภาวะโลกร้อน รวมถึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับภาครัฐได้ออกมาตรการสนับสนุนการผลิตและใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้ไปเมื่อเดือนเมษายน 2565 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการให้เงินอุดหนุนเพิ่มเติมถึง 70,000 – 150,000 บาท การลดภาษีสรรพสามิตและภาษีอากรขาเข้า ทำให้แนวโน้มการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้าจึงหนีไม่พ้นที่จะมีแนวโน้มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสการเติบโตของธุรกิจฟาสต์ฟิต
“ควิกเลน ในฐานะศูนย์บริการยางและรถยนต์ประเภทเร่งด่วน ที่เป็นหนึ่งในธุรกิจของฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ที่เปิดธุรกิจการให้บริการ สำหรับรถยนต์ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ ที่มีมาตรฐานระดับโลก พร้อมความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในวงการฟาสต์ฟิตมากว่า 20 ปี จากสหรัฐอเมริกา เราจึงมองเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจฟาสต์ฟิตในประเทศไทยอีกมาก โดยเฉพาะเมื่อปริมาณรถยนต์ที่ต้องการการซ่อมบำรุงมีเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเทรนด์การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่มาแรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรามั่นใจในศักยภาพและความพร้อมในการรองรับความต้องการของผู้ใช้รถในประเทศไทย ด้วยทีมช่างผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการอย่างมืออาชีพ ตลอดจนเครื่องมือเทคโนโลยีทันสมัย ซึ่งได้รับการรับรองจากบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี เพื่อมอบบริการที่ ‘สะดวกกว่า วางใจได้จริง’ ในการดูแลไม่ว่าจะเป็นรถยนต์สันดาปภายใน หรือรถยนต์ไฟฟ้า ในอนาคต” นายสันติ จิตพิชิตชัย ผู้อำนวยการ ควิกเลน ประเทศไทย กล่าว
ทั้งนี้ ควิกเลนเป็นธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ ที่โดดเด่นแตกต่างจากผู้ให้บริการฟาสต์ฟิตรายอื่นๆ โดยมาพร้อมการสนับสนุนอย่างครบวงจรให้กับผู้สนใจลงทุนทำธุรกิจกับควิกเลน ไม่ว่าจะเป็นระบบการจัดการตั้งแต่เริ่มต้น การฝึกอบรมระดับมืออาชีพ เครื่องมืออุปกรณ์ครบครันทันสมัย รวมถึงความเชี่ยวชาญจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำระดับโลก ทั้งด้านการบริการและด้านการตลาด นอกจากนี้ ควิกเลนยังมีอะไหล่คุณภาพมาตรฐานสากล ยี่ห้อออมนิคราฟต์ สำหรับรถหลากหลายรุ่น หลายยี่ห้อ เพื่อนำเสนอให้แก่ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในราคาที่คุ้มค่า พร้อมการรับประกันที่ยาวนาน ซึ่งองค์ประกอบทั้งหมดนี้สามารถตอกย้ำความมั่นใจของผู้ลงทุนได้ว่าจะประสบความสำเร็จและมีโอกาสเติบโตในการดำเนินธุรกิจกับควิกเลนได้
“เรายังคงเดินหน้าพัฒนาบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทั้งในเรื่องของการบริการที่ได้มาตรฐานเทียบเท่ากับศูนย์บริการในราคาที่เป็นกันเอง โดยมุ่งเน้นการขยายสาขาเป็นหลักด้วยเป้าหมายขยายศูนย์บริการควิกเลนให้มากกว่า 100 สาขาทั่วประเทศภายในปี พ.ศ. 2569 ผ่านความร่วมมือกับบริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ผู้ให้บริการสถานีบริการน้ำมันคุณภาพระดับโลกภายใต้แบรนด์ “คาลเท็กซ์” ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าจะสามารถตอบสนองผู้ประกอบการไทยที่มองหาโอกาสทางธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงได้เป็นอย่างดี” นายสันติกล่าวเสริม
ปัจจุบัน ควิกเลน มีสาขาครอบคลุมทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดหลัก 15 สาขา ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพสูง อย่างบริเวณพื้นที่ชุมชน ใกล้ศูนย์การค้าและแหล่งธุรกิจ และอีก 2 สาขาใหม่ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และสาขาปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ที่จะเปิดให้บริการในเดือนมกราคม 2566 นี้ เพื่อมอบความสะดวกสบายแก่ลูกค้า พร้อมเปิดให้บริการทุกวัน โดยไม่จำเป็นต้องนัดหมายล่วงหน้า
ที่มา: ฮิลล์ แอนด์ นอลตัน สแตรทีจีส์