ปอร์เช่ 911 สปอร์ต คลาสสิก (911 Sport Classic) ใหม่ คือยนตกรรมสปอร์ตคลาสสิกรุ่นพิเศษ limited-edition คันที่ 2 จาก 4 รุ่นพิเศษ ที่ถือเป็นไอเท็มสำหรับนักสะสมรถยนต์คลาสสิก ผลิตออกมากเพื่อสนองนโยบายแผน กลยุทธ์ Heritage Design strategy ของปอร์เช่ จำกัดจำนวนการผลิตออกมาเพียง 1,250 คันเท่านั้น สำหรับการผลิตรถรุ่นพิเศษนี้ แผนก Porsche Exclusive Manufaktur ได้รับแรงบันดาลใจในการปรับแต่งตัวรถให้มีสไตล์ย้อนยุคกลับไปในช่วงทศวรรษปี 1960 และปี 1970 ตอนต้น ตามแบบฉบับของยานยนต์สปอร์ตรุ่นพี่ที่เคยเปิดตัวมาก่อนหน้า คือรุ่น ปอร์เช่ 911 สปอร์ต คลาสสิก (911 Sport Classic) ในรุ่นตัวถัง 997 ที่ปรากฏโฉมไปเมื่อปี 2009 และปอร์เช่ 911 รุ่นบุกเบิกที่ผลิตเมื่อปี 1964 – 1973 และ 911 คาร์เรร่า อาร์เอส 2.7 (911 Carrera RS 2.7) รุ่นปี 1972
Alexander Fabig รองประธานกรรมการ ผู้กำกับดูแลส่วนงาน Individualization and Classic กล่าวว่า “การผลิตรถยนต์รุ่นพิเศษ Heritage Design เป็นความร่วมมือกันระหว่าง Style Porsche design และ Porsche Exclusive Manufaktur นำเอารถสปอร์ตระดับตำนานปอร์เช่ 911 มากำหนดนิยามใหม่ ติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งตามสไตล์ของรถในยุคทศวรรษที่ 1950 จนถึง 1980 รวมทั้งมีการออกแบบดีไซน์รูปลักษณ์ให้ย้อนเวลาไปในช่วงดังกล่าว ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวแทนของแนวคิดการผลิตภายใต้กลยุทธ์ของ Porsche product strategy โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการตอบสนองต่อความต้องการด้านอารมณ์ในการขับขี่ยนตกรรมสายพันธ์สปอร์ต โดยปอร์เช่มีแผนการดำเนินงานที่จะเปิดตัวรถสปอร์ตรุ่นพิเศษ limited-edition ทั้งหมด 4 รุ่น โดยคันแรกได้ถูกเผยโฉมออกไปเมื่อปี 2020 คือปอร์เช่ 911 ทาร์กา โฟร์เอส เฮอร์ริเทจ ดีไซน์ เอดิชั่น (911 Targa 4S Heritage Design Edition) ที่มีดีไซน์การออกแบบย้อนยุคมาจากทศวรรษปี 1950 และ1960
นอกจากนี้ Porsche Design ยังได้รังสรรนาฬิกาข้อมือ chronograph รุ่นพิเศษ สำหรับนักสะสมเพื่อลูกค้าที่ตัดสินใจเป็นเจ้าของรถสปอร์ต โดยนาฬิการุ่นนี้ ได้ถูกดีไซน์ ออกมาอย่างประณีต และถอดแบบรายละเอียดต่างๆ มาจากงานดีไซน์ของชุดอุปกรณ์ตกแต่ง Heritage Design Classic package ที่เป็นส่วนนึงของชิ้นงานประดับภายในห้องโดยสารที่ผ่านการคัดเลือกให้ติดตั้งในปอร์เช่ 911 สปอร์ต คลาสสิก (911 Sport Classic) รุ่นล่าสุด และสามารถนำมาติดตั้งในปอร์เช่ 911 รุ่นปัจจุบันเท่านั้น
นิยามใหม่แห่งศิลปะการออกแบบอมตะไร้กาลเวลา
ตัวถัง wide body สงวนไว้สำหรับปอร์เช่ 911 เทอร์โบ (911 Turbo) โดยเฉพาะ และมีสปอยเลอร์หลังออกแบบมาจากรูปทรง ‘ducktail’ ที่มาจากรถสปอร์ตคุ้นตาอย่าง คาร์เรร่า อาร์เอส 2.7 (Carrera RS 2.7) อีกทั้งแนวหลังคา double-bubble roof ยังตอกย้ำความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่พบได้ในปอร์เช่ 911 สปอร์ต คลาสสิก (911 Sport Classic) อีกด้วย
Michael Mauer รองประธานกรรมการผู้กำกับดูแลส่วนงาน Style Porsche กล่าวว่า ปอร์เช่ 911 สปอร์ต คลาสสิก (911 Sport Classic) รุ่นแรก ภายใต้รหัส 997 ซึ่งเปิดตัวในปี 2009 มีดีไซน์การออกแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจมากจากตัวถังสีเทาของปอร์เช่ 356 จึงเป็นที่มาของการเลือกใช้สีโทนพิเศษดังกล่าวสำหรับรถสปอร์ต limited-edition คันล่าสุด ทำให้ ปอร์เช่ 911 สปอร์ต คลาสสิก (911 Sport Classic) ใหม่ เป็นรถยนต์คันแรกที่มีตัวถังภายนอกในสี Sport Grey Metallic อีกทั้งสีเทาไม่เคยล้าสมัย และมีเรื่องราวในตัวเองอีกทั้งยังดูดีอยู่เสมอ นอกจากสีพิเศษ Sport Grey Metallic แล้ว ปอร์เช่ 911 สปอร์ต คลาสสิก (911 Sport Classic) ใหม่ ยังเพิ่มทางเลือกด้วยสีดำ solid Black สีเทา Agate Grey Metallic สีน้ำเงิน Gentian Blue Metallic รวมไปถึงออฟชั่นพิเศษจากปอร์เช่ Paint to Sample ที่สามารถเลือกสีได้ตามความปรารถนาของลูกค้า รวมไปถึงการคาดลาย Twin stripes สีเทาอ่อน ยาวตลอดแนวตั้งแต่ฝากระโปรงหน้า หลังคา ไปจรดสปอยเลอร์หลัง เน้นย้ำดีไซน์สปอร์ตย้อนยุคเต็มพิกัด
ภายในห้องโดยสาร ตกแต่งด้วยรูปแบบ Pepita pattern ที่เปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถสังเกตได้อย่างเด่นชัด ตั้งแต่แผงประตู และบริเวณกึ่งกลางเบาะนั่ง ที่มาในสไตล์ two-tone หุ้มด้วยวัสดุ semi-aniline leather สี Black/Classic Cognac ให้อารมณ์หรูหรา ตัดกันอย่างลงตัวกับสีภายนอก
พละกำลัง 550 แรงม้า ส่งต่อไปยังระบบเกียร์ธรรมดา แบบฉบับดั้งเดิมของ 911
แหล่งกำเนิดพลังมหาศาลที่ไม่เหมือนใคร: เครื่องยนต์เบนซินหกสูบนอน ขนาดความจุ 3.7 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้พละกำลังสูงสุด 550 แรงม้า (405 กิโลวัตต์) ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ผสานการทำงานกับระบบเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะ ส่งผลให้ ปอร์เช่ 911 สปอร์ตคลาสสิก (911 Sport Classic) ใหม่ กลายเป็น 911 เกียร์ธรรมดาที่ทรงพลังที่สุดในสายการผลิตปัจจุบัน
การติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานด้วยระบบเกียร์ฟังก์ชั่น auto-blip ที่ช่วยในการชดเชยรอบเครื่องยนต์ระหว่างการเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ ด้วยการเร่งเครื่องให้รอบการทำงานเหมาะสมที่สุดในจังหวะลดเกียร์ลง และระบบระบายไอเสียแบบสปอร์ตที่ผ่านการปรับแต่งให้เสียงคำรามอย่างมีบุคลิกเฉพาะตัว
ระบบช่วงล่างมีพื้นฐานมาจากปอร์เช่ 911 เทอร์โบ (911 Turbo) และ 911 จีทีเอส (911 GTS) รองรับการขับขี่สไตล์สปอร์ตได้อย่างไร้ที่ติ ต้องยกประโยชน์ให้ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ระบบ Porsche Active Suspension Management (PASM) เป็นระบบที่ติดตั้งในชุดอุปกรณ์มาตรฐาน ควบคุมอัตราการตอบสนองของโช๊คอัพอย่างรวดเร็วฉับไว ประสานการทำงานร่วมกับช่วงล่างแบบสปอร์ต ซึ่งมีระดับความสูงลดลงถึง 10 มิลลิเมตร
ติดตามข้อมูลข่าวสาร ภาพยนตร์ และภาพถ่ายเพิ่มเติม ได้ที่ Porsche Newsroom: newsroom.porsche.com
อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย และอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้รับการตรวจสอบตามมาตรฐานสากลที่สอดคล้องกับวิธีการ Light Vehicle Test Procedure (WLTP) ล่าสุด สำหรับค่าการตรวจวัดอัตราสิ้นเปลืองตามมาตรฐาน NEDC ที่ระบุในบทความนี้ ใช้อ้างอิงได้เฉพาะสภาพการทดสอบในช่วงเวลาเดียวเท่านั้น ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับค่าการตรวจวัดอัตราสิ้นเปลืองของ NEDC ที่ได้จากวิธีการอื่นใดก่อนหน้าการทดสอบนี้
สำหรับข้อมูลอย่างเป็นทางการของผลทดสอบอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยและอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในรถยนต์รุ่นใหม่อื่นๆ สามารถค้นหาได้จากเอกสาร “Guidelines on fuel consumption, CO2 emissions and power consumption of new passenger cars” [Leitfaden ueber den Kraftstoffverbrauch, die CO2-Emissionen und den Stromverbrauch neuer Personenkraftwagen], ผ่านตัวแทนจำหน่ายและสถาบัน Deutsche Automobil Treuhand GmbH (DAT) โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
เกี่ยวกับ AAS Group
ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย เอเอเอส กรุ๊ป ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ปอร์เช่และเบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการ ได้สร้างความเชื่อมั่นในด้านการดูแลหลังการขายให้กับลูกค้าปอร์เช่ทุกท่าน ด้วยทีมวิศวกรที่ผ่านการ ทดสอบระดับเหรียญ ทอง (ZPT3 Gold Theory Test & Recertification) ถึง 12 คน ซึ่งถือว่ามี จำนวนมากที่สุดของศูนย์รถยนต์ปอร์เช่ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคทั้งหมด 13 ประเทศ สะท้อนให้เห็นถึง ความสำคัญ ในเรื่องการให้บริการหลังการขาย โดย เอเอเอส ทุ่มงบการอบรมวิศวกร ของเราให้มีคุณภาพสูงสุด ตามนโยบาย หลักของบริษัทที่ว่า “เอเอเอส ดูแลทั้งรถและคุณ AAS Looking after YOU and your CAR” เพื่อให้ท่านมั่นใจได้ว่า “AAS The Name you can Trust” ซึ่งพิสูจน์ ให้ท่านได้เห็นแล้วตลอดระยะเวลาดำเนินงานมากกว่า 30 ปี
ที่มา: เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส