เมอร์เซเดส-เบนซ์ เผยผลประกอบการปี 63 ย้ำความเป็นผู้นำในเซกเมนต์รถยนต์ลักชัวรี ด้วยยอดขายทั่วโลกมากกว่า 2 ล้านคันติดต่อกันเป็นปีที่ 5 โดยในไทย “Mercedes-AMG” กวาดยอดขายเติบโต 14.9% แม้มีสถานการณ์โควิด-19 พร้อมส่ง “Mercedes-Benz The new E-Class” นำทัพลุยตลาด ก่อนเตรียมส่งรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ตะลุยเปิดตัวต่อเนื่องตลอดปี
บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยผลประกอบการประจำปี 2563 ย้ำความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ลักชัวรีระดับโลกด้วยยอดขายทั่วโลกเกิน 2 ล้านคันติดต่อกันเป็นปีที่ 5 พร้อมย้ำว่าแม้สถานการณ์โควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์ตลอดปีที่ผ่านมา แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังมองเห็นสัญญาณบวกต่อเนื่องทั้งในตลาดโลกและในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของตลาดจีน ดันยอดขายในจีนเติบโตขึ้น 11.7% และผลักดันให้ยอดขายในเอเชียแปซิฟิกเติบโตขึ้นรวม 4.7% ส่วนในประเทศไทย ยอดขาย “เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี” ก็เติบโตขึ้น 14.9% โดยเฉพาะในไตรมาส 4 ที่เติบโตขึ้นถึง 33.9% แสดงให้เห็นว่าความต้องการขับรถยนต์สมรรถนะสูงจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยอดขายในส่วนของบริการหลังการขายจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ก็เติบโตขึ้นในทุก ๆ แผนกตลอดปีที่ผ่านมา สำหรับปี 64 เมอร์เซเดส-เบนซ์พร้อมสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดปี โดยเปิดปีด้วยการแนะนำ “Mercedes-Benz The new E-Class” ก่อนตามด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องตลอดปีนี้
มร. โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เมอร์เซเดส-เบนซ์มีความมั่นใจว่าตลาดรถยนต์ลักชัวรีจะยังคงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยผลักดันและขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและระดับโลก เพราะแม้ว่าเราทุกคนจะต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบากจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปีที่ผ่านมา แต่เรายังมองเห็นสัญญาณบวกจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยในตลาดโลก เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงสามารถรักษายอดขายได้มากกว่า 2 ล้านคันติดต่อกันเป็นปีที่ 5 ด้วยยอดขาย 2,528,349 คัน เพราะเราได้ปรับกลยุทธ์ด้านการขายและการบริการให้เป็นดิจิทัลมากขึ้นทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย เพื่อให้ก้าวทันสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ความต้องการในรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทำให้เราสามารถทำยอดขายรถยนต์ไฮบริดได้สูงถึง 115,000 คันหรือเพิ่มสูงขึ้นถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในหลาย ๆ ตลาด โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง เฉพาะในเอเชียแปซิฟิก เราสามารถทำยอดขายได้ถึง 1,024,315 คันหรือเติบโตขึ้น 4.7% โดยมีตลาดจีนเป็นตลาดสำคัญในการขับเคลื่อน ด้วยยอดขายที่เติบโตขึ้นถึง 11.7% หรือ 774,382 คันซึ่งถือว่าเป็นสถิติใหม่”
“สำหรับในตลาดไทย ด้วยสถานการณ์โควิดที่ส่งผลกระทบต่อตลาดรถยนต์หรูในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เมอร์เซเดส-เบนซ์จึงให้ความสำคัญกับสภาพคล่องของผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์และสามารถประคับประคองสถานการณ์ให้ผ่านพ้นปี 2563 มาได้ด้วยดี โดยเรายังมองเห็นสัญญาณบวกอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ทั้งยอดขายของเมอร์เซเดส-เอเอ็มจีที่เพิ่มสูงขึ้น 14.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเฉพาะในไตรมาสที่ 4 ไตรมาสเดียว ยอดขายเมอร์เซเดส-เอเอ็มจีเพิ่มสูงขึ้นถึง 33.9% เลยทีเดียว นั่นแสดงให้เห็นว่า ความต้องการขับรถยนต์สมรรถนะสูงจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงเพิ่มขึ้น ส่วนยอดขายรถยนต์ V-Class ซึ่งเราเปิดตัวรุ่นใหม่ในปีที่ผ่านมาก็เพิ่มสูงขึ้น 59.2% ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ฝ่ายบริการลูกค้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้วางกลยุทธ์ในการให้บริการที่ครอบคลุมทุกความต้องการและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ซึ่งนั่นคือหัวใจในการบริการของเรา โดยเราได้ทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้ามากขึ้นในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการยืดระยะเวลาของ “แพ็คเกจเมอร์เซเดส-เบนซ์ เซอร์วิส พลัส” ขยายระยะเวลาเกินกำหนดของการเข้ารับบริการบำรุงรักษา การดูแลเรื่องความสะอาดที่ศูนย์บริการฯ รวมไปถึงการนำเสนอ “Welcome Back Service Campaign” เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าด้วยส่วนลดและข้อเสนอพิเศษสำหรับบริการหลังการขาย ทั้งหมดนี้จึงทำให้ยอดขายในส่วนของบริการหลังการขายเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทั้งยอดขายน้ำมันเครื่อง MBOil ที่เติบโตขึ้น 14.4% ยอดขาย MBPaint ที่เติบโตขึ้น 24.4% ยอดขายยางรถยนต์ MBTire ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 260.8% ฯลฯ”
“สำหรับปี 2564 เมอร์เซเดส-เบนซ์พร้อมสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งปีแรก เราเตรียมนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ หลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็นเมอร์เซเดส-เอเอ็มจีรุ่นคอมแพ็คใหม่ รถยนต์ Dream Car รุ่นใหม่ที่หลายคนรอคอย รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นใหม่ที่จะมาพร้อมเทคโนโลยีที่เรียกได้ว่าเป็นนิวเอจของเทคโนโลยีไฮบริด รวมถึง Mercedes-Benz The new E-Class ใหม่ ยนตรกรรมอัจฉริยะที่พร้อมมอบทุกสิ่งที่คุณต้องการ สะกดทุกสายตาด้วยดีไซน์ใหม่สุดโฉบเฉี่ยวเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์
โดยมาพร้อมความเหนือชั้นของขุมพลังเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี EQ Power เจเนอเรชันที่ 3 ที่เราพร้อมกระตุ้นตลาดรถยนต์ลักชัวรีอย่างต่อเนื่องในไตรมาสแรกด้วย” มร.โรลันด์ กล่าวเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ในปี 2563 ที่ผ่านมา เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงสานต่อการทำงานเพื่อสังคมอย่างไม่หยุดนิ่งเหมือนเช่นที่ผ่านมา ทั้งการให้การสนับสนุนด้านการศึกษาแก่โรงเรียนเยาววิทย์ จังหวัดพังงา และการให้การสนับสนุนนักเรียนอาชีวะภายใต้โครงการนักเรียนช่างฝึกหัดเมอร์เซเดส-เบนซ์ตามมาตรฐานการศึกษาทวิภาคีเยอรมัน-ไทย ซึ่งปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาเข้าร่วมโครงการกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ทั้งหมด 5 สถาบัน ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ วิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก วิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโก วิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโก บ้านโป่ง และวิทยาลัยเทคนิคลพบุรี นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่คนไทยเผชิญหน้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ร่วมกันในปีที่แล้ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการต้านภัยโควิด-19 ด้วยการเชิญชวนผู้ใช้เมอร์เซเดส-เบนซ์โพสต์ภาพคู่กับรถยนต์ของตนเองแล้วมอบเงินบริจาค 500 บาทต่อภาพ โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถรวบรวมเงินเป็นจำนวน 2 ล้านบาทเพื่อมอบให้กับ 4 โรงพยาบาลที่เป็นศูนย์กลางการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ ได้แก่ โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และสถาบันบำราศนราดูร
เกี่ยวกับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เป็นผู้รับผิดชอบธุรกิจทั่วโลกของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และรถตู้เมอร์เซเดส-เบนซ์ ด้วยจำนวนพนักงานกว่า 173,000 คนทั่วโลก โดยมี โอล่า คัลเลนเนียส เป็นประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนา ผลิต และจำหน่ายรถยนต์ รถตู้ และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้น ยังมีเจตนารมณ์ในการเป็นผู้นำของโลกในด้านการเชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน ยานยนต์ไร้คนขับ และยานยนต์ทางเลือก โดยการใช้นวัตกรรมล้ำสมัยต่าง ๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกอบด้วยแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ และแบรนด์ย่อย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี เมอร์เซเดส-มายบัค และ เมอร์เซเดส-มี รวมทั้งแบรนด์สมาร์ท และแบรนด์อีคิว ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์โดยสารระดับพรีเมี่ยมรายใหญ่ที่สุดของโลก ในปี 2563 บริษัทฯ จำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกือบ 2.4 ล้านคัน และรถตู้กว่า 438,000 คัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ขยายเครือข่ายการผลิตใน 2 กลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตกว่า 40 แห่งใน 4 ทวีป ควบคู่ไปกับแนวทางการพัฒนาที่ตอบสนองความต้องการในด้านยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน บริษัทได้พัฒนาเครือข่ายการผลิตแบตเตอรี่ของตัวเองทั่วโลกใน 3 ทวีป การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนล้วนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อทั้งสองกลุ่มธุรกิจ สำหรับเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ความยั่งยืนหมายถึงการสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายในระยะยาว ทั้งลูกค้า พนักงาน นักลงทุน พันธมิตรทางธุรกิจ และสังคมโดยรวม โดยอาศัยพื้นฐานของกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของเดมเลอร์ ซึ่งมุ่งรับผิดชอบต่อผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และสังคม จากกิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัท และให้ความสำคัญต่อห่วงโซ่คุณค่าโดยรวม
ที่มา: โอกิลวี่ ประเทศไทย